คอลัมน์ดนตรีนั้นคือชีวิตแอบเปลี่ยนบรรยากาศกันนิดหน่อย เพราะวันนี้ ASHLEY ได้ยกทีมเข้ามาพูดกันกับเราที่ออฟฟิศของ Rhythm ด้วยตัวเองเลย เมื่อเข้าถึงห้องทำงาน ทีม ASHLEY ก็ยื่นแผ่นซีดีที่เขียนว่า “ABLAZE” ให้กับเรา พร้อมกับโพสเตอร์สุดเท่ที่มีลายเซ็นของสมาชิกทั้งสามกำกับเอาไว้ด้วย

ASHLEY (แอชลีย์) วงเมทัลร็อก สังกัดอิสระที่อยากทำตามฝันในเส้นทางดนตรีด้วยการสร้างวงของตัวเองอย่างจริงจัง จากความกล้าของสมาชิกทั้งสามคน ได้แก่ ปุยฝ้าย – สุชานันท์ นาควิจิตร (นักร้องนำ), แบงค์ – หิรัญรัตน์ ประทีป (มือกีต้าร์) และ เกด – เกศกมล มงคลไพบูลย์ (มือกลอง) 

เรียกได้ว่าทั้งสามคือความลงตัวที่แตกต่างจากวงเมทัลร็อกทั่วไป ตั้งแต่การมีนักร้องนำหญิงที่เราพบเห็นกันได้น้อยมากในวงการเพลงร็อก จนไปถึงการมีมือกลองหญิงที่เรามักติดภาพจำกันว่า มือกลองโหดๆ ต้องเป็นผู้ชายเพียงเท่านั้น แต่ ASHLEY กระโดดข้ามกำแพงเหล่านั้นด้วยแพสชันเต็มเปี่ยมของเขาล้วนๆ

อยากชวนให้ทุกคนมารู้จักกับ ASHLEY มากขึ้น และค่อยไปสนุกจนหัวโยกกับ เพลงในอัลบั้มแรกของพวกเขาอย่าง ABLAZE กัน!

ทั้งสามคนมาเจอกันได้ยังไง?

ปุยฝ้าย : ก่อนที่จะมาเป็นวง มีฝ้ายกับแบงก์ที่เรียนอยู่คณะเดียวกันและเป็นแฟนกันด้วยค่ะ ตอนนั้นเราใกล้เรียนจบกันแล้ว และอยากคัฟเวอร์เพลงอนิเมะด้วย ก็เลยคัฟเวอร์เพลงอนิเมะเล่นๆ พร้อมกับลองฟอร์มทีมกัน ทำไปสักพักเริ่มอยากมีเพลงเป็นของตัวเอง เลยหันไปคุยกับแบงค์ว่าอยากทำเพลง original กันไหม เพลงที่เป็นเพลงของวงเราเลย จนเราได้ลองทำเพลงแรกออกมาค่ะ ชื่อเพลงว่า “ตุ๊กตาล้มลุก” ซึ่งหลังจากนั้นประมาณ 1 ปี สมาชิกมือกลองคนเก่าก็ขอถอนตัวออกไป ในปีเดียวกันก็ได้พี่เกดเข้ามาเป็นสมาชิกคนปัจจุบัน 

เกด : เหมือนตอนนั้นทางวงปล่อยซิงเกิลแรกมาสักพักหนึ่งแล้ว  แล้วเราก็ได้เข้ามาอยู่ในวงกับน้องๆ ในช่วงซิงเกิลที่สองพอดีค่ะ

ASHLEY นิยามว่าตัวเองเป็นวงแบบไหน?

ปุยฝ้าย : ถ้าคนฟังเค้าอยากจะเรียกเราว่าเป็น J-Rock เราก็ไม่ได้ห้ามนะคะ แต่ถ้าในส่วนตัวของวงเอง เราไม่ได้อยากตีกรอบตัวเองว่าเป็น J-Rock ขนาดนั้น แม้ว่าเราชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่น หรือชอบเพลงอนิเมะ แต่ถ้าเรานิยามว่าตัวเองว่าเป็น J-Rock ฝ้ายมองว่ามันเป็นการตีกรอบมากกว่า เพราะถ้าในอนาคต เราเเบื่อสไตล์ในปัจจุบัน แล้วอยากไปฟังตะวันตกมากขึ้น หรืออยากทำเพลงที่มันหลากหลายมากขึ้นก็ได้ เราเลยไม่อยากตีกรอบตัวเองไว้ค่ะ ฉะนั้นถ้าให้นิยามเลย ก็คงอยากนิยามว่า ASHLEY เป็นวงเมทัลร็อกมากกว่าค่ะ ซึ่งเราก็ใส่ความชอบของพวกเราลงไปในอัลบั้มนี้ด้วยนะคะ ก็จะมีกลิ่นอายของอนิเมะด้วย แต่ในอนาคตอาจจะมีอะไรเปลี่ยนไปมากกว่านี้ก็ได้ค่ะ 

แบงค์ : อีกความเป็นตัวของพวกเราที่เด่นคือ Sound ที่หนักกับเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ครับ เพราะเสียงร้องเป็นเสียงของผู้หญิง ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าไม่ค่อยมีผู้หญิงร้องนำในวงเมทัลร็อกของไทยเท่าไรในยุคนี้นะครับ

ปุยฝ้าย : ก็จริงอยู่ที่ว่า วงดนตรีแนวเมทัลส่วนมากนักร้องนำมักผู้ชาย แต่ส่วนตัวฝ้ายรู้สึกว่า การเป็นนักร้องนำของวงเมทัลไม่ได้จำกัดเพศหรือจำกัดวัยอยู่แล้ว อาจจะมีบริบทบางอย่างที่เราอาจจะไปเทียบกับผู้ชายไม่ได้ แล้วก็อาจจะมีบางอย่างที่ผู้ชายก็ไม่ได้ทำแบบผู้หญิงได้เช่นกัน เราคิดว่ามันเป็นเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป มองว่ามันเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของวงการเพลงเมทัลแล้วกันค่ะ 

ปุยฝ้าย – สุชานันท์ นาควิจิตร (นักร้องนำ)

เล่าที่มาที่ไปของชื่อวง ASHLEY ให้ฟังหน่อย

แบงค์ :  ASHLEY เป็นชื่อตัวละครในเกมที่เราชอบอย่าง Resident Evil 4 ครับ เป็นเกมที่เล่นมาตั้งแต่เด็กเลย ซึ่งในเกมจะมีตัวละครที่ชื่อ ASHLEY ซึ่งเป็นตัวละครที่ถ้าคนที่เคยเล่นครับ จะรู้ว่าตัวะละครมันปวกเปียกมาก แต่ถ้าเราเล่นจนปลดล็อกไอเท็มได้ ก็จะทำให้ตัวละครนี้เก่งขึ้นได้ เราเลยรู้สึกว่า มันก็คงคล้ายกับการทำวงดนตรีครับ เพราะถ้าเราปลดล็อกสกิลของตัวเองไปเรื่อยๆ จนพอถึงจุดหนึ่ง วงดนตรีก็จะพัฒนาไปได้เองครับ

ปุยฝ้าย : เพราะถ้าเราเล่นโหมดยากที่สุดในเกมไปได้แล้ว เกมจะปลดล็อกเป็น ASHLEY ใส่ชุดเกราะ เท่ากับว่าพวกมอนสเตอร์ในเกมส์ก็จะทำอะไร ASHLEY ไม่ได้เลย  ASHLEY จะกลายเป็นวัตถุที่ไม่มีวันตาย

การทำวงแบบไม่มีสังกัด มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง?

เกด : เราว่าการมีค่ายและการไม่มีสังกัด ทั้งสองแบบนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียเป็นปกติค่ะ อย่างการเราอยู่ค่าย ข้อดีก็คือ เรื่องการจัดการที่เป็นระบบ การประสานงานหรือในเรื่องคอนเนกชันก็จะมีเป็นระบบอยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกันบางค่ายอาจจะวางกรอบของแนวเพลง หรือตลาดที่ค่ายต้องการมาให้ศิลปินเลย ในขณะที่ถ้าเป็นสังกัดอิสระ คือเราสามารถกำหนดเส้นทางได้เอง วาดทุกอย่างมันขึ้นได้เองด้วยตัวของเรา เรามีอิสระในตัวเอง แต่ข้อเสียก็มี คือการที่เราต้องต้องค้นคว้าและพยายามมากขึ้นด้วยตัวเอง เพราะเราไม่ได้จะมีคอนเนกชัน หรือมีระบบจัดการที่พร้อมอยู่แล้วเหมือนการที่เราไปอยู่ค่ายใดค่ายหนึ่งค่ะ เราต้องเริ่มจากศูนย์ เริ่มจากอากาศเลย เหมือนเรามีกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่งแล้วเราต้องเขียนมันขึ้นมาเอง

เกด – เกศกมล มงคลไพบูลย์ (มือกลอง)

ฉะนั้น ASHLEY เขียนคอนเซ็ปต์ของอัลบั้มลงบนกระดาษเปล่าแผ่นนั้นไว้แบบไหนบ้าง

ปุยฝ้าย : ต้องบอกก่อนว่า ครั้งแรกที่ ASHLEY ปล่อยซิงเกิล เรายังไม่ได้คิดว่าเราจะทำอัลบั้มเลย ด้วยความที่เรายังใหม่ และอัลบั้มก็เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเราด้วย ในช่วงนั้นเราก็เลยปล่อยเป็นซิงเกิลไปเรื่อยๆ จนเพิ่งรู้ตัวกันว่าเราทำมา 5 เพลงแล้ว จากนั้นก็เลยคุยกันจริงจังว่าอีกไม่กี่เพลงก็จะได้อัลบั้มเต็มแล้วนะ ซึ่งการทำอัลบั้มของตัวเองก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของเราเหมือนกัน 

ซึ่งอัลบั้มABLAZE จึงเป็นเหมือนการต่อจิ๊กซอว์มากกว่า เพราะก่อนหน้านี้เรามีจิ๊กซอว์ที่ออกไปแล้ว 5 เพลง แล้วเราก็ต้องมาตีโจทย์ว่าจะทำยังไงให้จิ๊กซอว์ทุกตัวมันหนึ่งเดียวกันให้ได้ เราก็เลยหยิบคำว่า “ABLAZE” ที่แปลว่า ติดไฟหรือไฟลุก มาใช้กับอัลบั้มนี้ ซึ่งเราเปรียบเทียบคำว่า ABLAZE เนี่ยเป็นเหมือนไฟตัวพวกเรา เสมือนว่าเราเป็นวัยรุ่นไฟแรงด้วยค่ะ เป็นความรู้สึกที่เราจะต้องเผชิญเพื่อปลุกไฟในตัวเอง แล้วเอาไฟนั้นใส่เข้าไปในเพลง ให้มันมีความเดือดดาลค่ะ

อะไรคือความท้าทายของการทำอัลบั้ม ABLAZE 

เกด : สำหรับเรา น่าจะเป็นเรื่องของความท้าทายกับตัวเองเพราะแต่ละเพลง หลังจากแบงค์ขึ้นดนตรีมาให้คร่าวๆ โจทย์ต่อไปคือเกดต้องเอาไปทำการบ้านต่อ ตั้งแต่การเอาไปแกะและอัด มันมีกระบวนอ่านต่อไปอีก โดยเฉพาะในพาร์ทของกลอง ที่ซึ่งเรารู้สึกว่า เราต้องชาเลนจ์กับตัวเองมากๆ ในทุกบทเพลง เพราะมันไม่เหมือนกับการคัฟเวอร์เพลงที่เราแกะตามเพลงเหล่านั้นได้เลย แต่อันนี้คือการเริ่มจากสิ่งที่เราไม่เคยฟังมากก่อน นี่เลยเป็นความท้าทายสำหรับเราค่ะ

ปุยฝ้าย : ความยากในการทำอัลบั้มใช่มั้ยคะ เอาจริงมันยากทุกทาง ตั้งแต่การทำเพลง การวางแผนการโปรโมท การทำสตรีมมิ่ง จนไปถึงการวางแผนการขาย ทุกอย่างมันใหม่สำหรับเราหมดเลย แล้วก็เป็นสิ่งที่ที่เราต้องทำด้วยตัวเองด้วย ฉะนั้นมองไปทางไหนก็มีแต่ความท้าทาย ถ้าเป็นในพาร์ทของตัวเพลง ที่ยากสำหรับฝ้ายคือ เรื่องของการเขียนเนื้อเพลง เพราะว่าก่อนหน้านี้เราไม่เคยทำเพลงเองมาก่อนเลย ก็เลยรู้สึกว่านี่เป็นความท้าทายที่พอเราผ่านมาได้ เราก็ภูมิใจกับมันเหมือนกัน

แบงค์ – หิรัญรัตน์ ประทีป (มือกีต้าร์)

ถ้าให้เลือก 1 บทเพลง เพื่อแนะนำให้คนที่ไม่เคยรู้จัก ASHLEY ให้ได้รู้จัก ASHLEY มากขึ้น แต่ละคนจะแนะนำเพลงอะไร 

เกด : เราขอเลือกเพลง “น้ำตาสีเพลิง” ค่ะ เพราะเรารู้สึกว่าน่าจะท้าทายในด้านของมือกลองอยู่พอสมควร เพราะตอนที่ได้โจทย์เพลงนี้มา เราต้องไปอัดเป็นมาสเตอร์ มันท้าทายและยากมาก แต่ว่าพออัดเสร็จ แล้วก็รู้สึกว่าได้ปลดล็อก achievement จริงๆ ค่ะ และอีกอย่างที่เราชอบเพลงนี้คือ “น้ำตาสีเพลิง” เป็นเพลงที่มีจังหวะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เหมือนคลื่น ช่วงแรกจะมาแบบนิ่งๆก่อน หลังจากนั้นจังหวะก็จะเปลี่ยนเหมือนคลื่นลูกใหญ่แล้วจึงค่อยลดลงไป แล้วจึงคลื่นก็ค่อยพุ่งกลับมาอีกครั้ง เราว่าเพลงนี้มันมีสีสันที่หลากหลายดีค่ะ

แบงค์ : แบงค์เลือก “wanna be” ครับ เพราะเพลงนี้คือตัวเเทนของเด็กดื้อ เป็นเพลงที่พูดแบบไม่ต้องประดิษฐ์อะไรเลย ผมเลยว่าเพลงนี้เท่ ส่วนตัวผมก็ชอบมากครับ 

ปุยฝ้าย : ฝ้ายแนะนำเพลง “ตุ๊กตาล้มลุก” ค่ะ เป็นเพลงแรกของอัลบั้มเลย เพราะว่าเป็นเพลงที่ซ่อนความเป็น “ASHLEY”  ได้ดีที่สุดแล้ว และความหมายของเพลงก็ดูล้มลุกคลุกคลานเหมือนวงเราดีค่ะ (หัวเราะ) 

อยากฝากบอกอะไรกับศิลปินที่อยู่สังกัดอิสระเหมือนกันกับ ASHLEY บ้าง

ปุยฝ้าย : ถ้าสำหรับฝ้ายก็คือ อดทนค่ะ (หัวเราะ) อนทนแล้วก็คุณต้องเป็นคนซาดิสม์ระดับหนึ่งเลย  และเราคิดว่าจริงๆ แล้วยังมีศิลปินอิสระในประเทศไทยอีกหลายคนที่หล่อเลี้ยงตัวเองได้ โดยที่ตัวเองไม่ต้องมีค่าย เขาวางระบบของตัวเองได้ เราเลยไม่อยากให้ตีกรอบว่า เป็นศิลปินอิสระแล้วจะไม่รอดหรือทำไม่ได้ เพราะเราเชื่อทุกอย่างเป็นไปได้เสมอค่ะ 

แต่ละคนมีศิลปินในดวงใจไหม

ปุยฝ้าย : เราฟังเพลงหลากหลายแนวมาก ไอดอลของเราเลยไม่ได้มีแบบเจาะจงเป็นคนนะคะ เพราะบางทีเราอาจจะปลื้มเขาในบางอัลบั้มนี้ หรือใน 2-3 ปีถัดมาเราอาจจะชอบเพลงของคนอื่นด้วย เรียกว่าฟังได้ทุกแนว ฟังไปเรื่อยๆ เลยค่ะ

แบงค์ : ศิลปินในดวงใจนี่แปลกมากที่เราไม่ได้ชอบค่ายเพลง แต่เราชอบค่ายเกมครับ (หัวเราะ) ค่ายเกมนั้นคือ Riot Games เป็นค่ายเกมที่ทำค่ายเพลงเก่งมาก แต่ละเพลงที่เขาปล่อยออกมา ล้วนเป็นเพลงที่ประกอบเกมนะ แต่ผมชอบวิธีเล่าเรื่องของเขาผ่านบทเพลงมากๆ ครับ 

ปุยฝ้าย : วงเราติดเกมกันเนาะ (หัวเราะ) เรามักโยงทุกอย่างกับเกมตลอดเลย

เกด : วงในไทยเราชอบ Sweet Mullet กับพี่ๆ วง BIG ASS เพราะว่าเป็นวงที่ฟังมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็รู้สึกว่าเสียงกลองหนักแน่นดี มันไม่เหมือนกับวงอื่นๆ ด้วย อาจจะคล้ายกันในแนวเพลงร็อก แต่ว่าในสัดส่วนของดนตรีที่เราไปเจาะลึกจริงๆ เสียงกลองจะมีความแตกต่างกันอยู่ แล้วก็ถ้าเป็นต่างประเทศก็มีฟังหลายวงค่ะ อย่างวง Scorpions กับ THE EVIL ก็ชอบมากเหมือนกันค่ะ 

มองภาพวง ASHLEY ในอนาคตไว้ว่าแบบไหนบ้าง

ปุยฝ้าย : อยากเห็น ASHLEY ไปเล่นในคอนเสิร์ตระดับประเทศ ระดับเฟสติวัลที่อยากให้คนค้นพบเรามากขึ้น อยากให้เขารู้ว่ามีวงแบบเราอยู่ อยากให้มีคนชอบวงเราเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ 

ดนตรีมีอิทธิพลกับแต่ละคนอย่างไรบ้าง 

ปุยฝ้าย : โอโฮ เรียกว่าเกิดมาก็อยู่กับมันแล้ว เราอยู่กับดนตรีมาตั้งแต่เกิด อย่างพี่เกดก็มี คุณพ่อเป็นนักดนตรีเหมือนกันค่ะ

เกด : เราเล่นดนตรีตั้งแต่ประถมเลย จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 20 ปีแล้วค่ะ ถึงเราจะไม่ได้เรียนสายดนตรีโดยตรง แต่เราไม่เคยทิ้งดนตรีเลย เพราะว่าพ่อเคยพูดไว้ว่า ไม่ว่าไปที่ไหน ถ้าเราเลือกที่จะเล่นดนตรี เดี๋ยวดนตรีจะมาหาเราเอง 

ASHLEY มีความหมายกับทั้งสามคนอย่างไรบ้าง 

ปุยฝ้าย : ASHLEY เป็นวงดนตรีวงแรกที่เรากล้าลงมือทำค่ะ เพราะก่อนหน้านี้เราเดินสายประกวดร้องเพลงคนเดียวค่ะ เคยมีความคิดแค่ว่าอยากจะเป็นศิลปินเดี่ยว เพราะตอนนั้นคิดว่าการทำวงมันยากและวุ่นวาย คนเยอะ ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะต้องมาทำวงดนตรี แต่สุดท้ายก็ได้มาทำ และ ASHLEY เป็นวงแรกที่ทำให้ฝ้ายกล้าทำเลยค่ะ

แบงค์ : ASHLEY คือสิ่งที่เป็นตัวตนที่สุด และอยากนำเสนอตัวตนและสิ่งที่ชอบผ่าน ASHLEY ครับ

เกด : ASHLEY เปรียบเหมือนเส้นทางหนึ่งในการดำเนินชีวิต พอเราปลดล็อกเส้นทางนี้แล้วเข้ามาอยู่กับ ASHLEY เราไม่อยากให้เส้นทางนี้เป็นทางตันหรือเป็นทางที่เดินต่อไปไม่ได้ เราอยากสร้างเส้นทางนี้ต่อๆ ไป อยากให้เป็นเส้นทางทั้งการใช้ชีวิตของเราและการทำงานของเราด้วยค่ะ

Contributors

เด็กมนุษย์ฯ ผู้ชื่นชอบการออกไปเดินเที่ยวคนเดียว เอนจอยกับการเต้นและการกิน ปัจจุบันกำลังพยายามใช้ชีวิตแบบ Slow Life อยู่