Anna Wintour ประกาศอำลาจากตำแหน่ง Editor-in-Cheif อย่างเป็นทางการหลังอยู่มา 37 ปี ซึ่งการก้าวลงจากตำแหน่งที่ครองมายาวนานเกือบสี่ทศวรรษของ Anna Wintour นับเป็นแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ของวงการแฟชั่น เพราะเธอไม่ได้เป็นเพียงแค่แค่หัวเรือของนิตยสารชื่อดังระดับตำนานเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้กำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมแฟชั่นในระดับโลกมาอย่างยาวนานอีกด้วย

แม้เธอจะก้าวลงจากตำแหน่งสูงสุดของ Vogue อเมริกา แต่เธอยังคงดำรงตำแหน่ง Global Editorial Director ของ Vogue ทั่วโลก และ Global Chief Content Officer รวมถึงสื่อในเครือของ Condé Nast อย่าง Vanity Fair, GQ, Wired, Bon Appétit และอีกมากมาย

การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างองค์กรซึ่งจะทำให้ Vogue ฉบับอเมริกา มีผู้นำฝ่ายเนื้อหาคนใหม่ที่ไม่ได้ใช้ชื่อว่า Editor-in-Chief อีกต่อไป แต่เป็น “Head of Editorial Content” เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ อย่างญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส อินเดีย และจีน ซึ่งหมายความว่าเธอยังจะดูแลเนื้อหาของ Vogue ทั่วโลก และหัวเรือแต่ละประเทศจะขึ้นตรงกับเธอ

ตลอด 37 ปีที่ผ่านมา Anna Wintour ไม่เพียงแต่ปั้น Vogue ให้กลายเป็นสถาบันของแฟชั่น เพียงอย่างเดียว แต่ยังทำให้โลกแฟชั่นกลายเป็นพลังทางวัฒนธรรมที่ทรงอิทธิพลเกินใครจะคาดคิด เธอเป็นนักกลยุทธ์ที่มองเห็นศักยภาพของปกนิตยสารว่าเป็นเครื่องมือของ Soft power ที่สามารถปั้นคนธรรมดาให้กลายเป็นไอคอนิกได้ หรือสร้างบทสนทนาทางสังคมผ่านแฟชั่นเพียงหนึ่งลุก เธอคือคนแรกที่นำดารา ป๊อปสตาร์ และนักการเมืองมาขึ้นปกนิตยสาร และเปลี่ยนให้โชว์แฟชั่นกลายเป็นอีเวนต์ระดับโลกที่จับตามองได้เทียบเท่างานศิลปะหรือภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์

ในช่วงเวลาที่เธอเป็นผู้นำ ไม่มีใครในแถวหน้ารันเวย์เด่นไปกว่าเธอ เธอเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจด้วยผมบ๊อบเนี้ยบ แว่นกันแดดประจำตัว และสีหน้าที่บอกไม่ได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ภาพจำของเธอถูกขยายผ่านวัฒนธรรมป๊อป จากหนัง The Devil Wears Prada ที่ Meryl Streep รับบทเป็น Miranda Priestly บรรณาธิการสุดเย็นชาที่เชื่อกันว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก Anna Wintour โดยตรง

แม้ภาพลักษณ์จะดูน่าเกรงขาม แต่ภายใต้แว่นกันแดดดำนั้น เธอคือผู้หญิงที่หลงใหลในกีฬาเทนนิส และให้ความสำคัญกับครอบครัวอย่างจริงจัง เธอขึ้นชื่อเรื่องการตื่นตีสี่ครึ่งเพื่อตีเทนนิสก่อนเริ่มทำงาน และเคยโดด Fashion Week เพื่อไปดู US Open และนี่คือคนที่สอนลูกสาวว่า “การทำงานหนักคือหัวใจสำคัญของชีวิต” ขนาดที่ครั้งหนึ่ง ลูกสาวของเธอนั่งท่องวิชาประวัติศาสตร์ลาตินอเมริกากลางงานกาลาของ Vogue

Anna Wintour เติบโตมากับโลกของสื่อตั้งแต่สมัยเด็กๆ พ่อของเธอคือบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ London Evening Standard เธอเริ่มต้นอาชีพในลอนดอน ก่อนย้ายไปนิวยอร์กในวัย 20 กว่า ๆ และก้าวขึ้นเป็นบรรณาธิการ British Vogue ในปี 1985 ก่อนจะย้ายมานำทัพ American Vouge ในอีกสามปีต่อมา

ปกแรกที่เธอดูแลคือ Michaela Bercu ซึ่งเป็นนางแบบชาวอิสราเอลมาในเสื้อแจ็กเก็ตคริสเตียน ลาครัวซ์ ประดับไม้กางเขนคู่กับยีนส์ฟอกสีจาก Guess ซึ่งผิดแปลกไปจากปกครั้งก่อนๆ ถึงขึ้นว่าโรงพิมพ์โทรกลับมาเช็กว่าส่งภาพมาผิดหรือเปล่า เพราะนี่คือครั้งแรกที่ยีนส์เคยขึ้นปก Vogue และมันคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนโลกแฟชั่นไปตลอดกาล

“มันแตกต่างจากภาพถ่ายระยะใกล้สุดเนี้ยบที่เคยเป็นภาพปก Vogue สมัยนั้นอย่างสิ้นเชิง ไม่แต่งหน้าจัด ไม่มีเครื่องประดับใหญ่โต มันแหกทุกกฎที่มี” Anna Wintour กล่าวในโพสต์บนเว็บไซต์ Vogue เมื่อปี 2012 “หลังจากนั้นผู้คนก็พากันตีความไปต่างๆ นานา ว่ามันคือการผสมผสานระหว่างแฟชั่นไฮเอนด์กับแฟชั่นแมส หรือ Michaela Bercu ท้อง หรือเป็นสัญญะทางศาสนา แต่ความจริงแล้วมันไม่มีอะไรเลย ฉันแค่เห็นภาพนั้นแล้วรู้สึกได้ถึงสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณจะหวังกับภาพปก Vouge ได้”

ในช่วงที่เธอเรืองอำนาจมากที่สุด มีข่าวลือว่าเธออาจได้รับแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอังกฤษ ด้วยบทบาทของเธอในฐานะผู้สนับสนุนการเมืองและนักระดมทุนคนสำคัญ แม้สุดท้ายเรื่องนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่แค่การมีข่าวลือระดับนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่าเธอมีอำนาจเกินขอบเขตของโลกแฟชั่นไปไกลแค่ไหน

วันนี้ Anna Wintour ไม่ได้แค่ก้าวลงจากเก้าอี้ของนิตยสารที่เธอเคยปั้นให้กลายเป็นตำนาน แต่เธอกำลังเปิดพื้นที่ใหม่ให้กับอนาคตของวงการ สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดอาจไม่ใช่ว่าใครจะเป็นหัวเรือของ Vouge อเมริกาคนต่อไป แต่คือการมองย้อนกลับไปว่าคนคนหนึ่งสามารถเปลี่ยนโลกแฟชั่นให้กลายเป็นวัฒนธรรมได้มากแค่ไหน

Contributors

อาร์ตไดผู้รักงานออกแบบที่เขียนคอนเทนต์ได้นิดหน่อย ชอบเล่าตัวเลขและข้อมูลด้วยภาพ ชอบกินเส้นมากกว่าข้าว ชอบดูหนัง ชอบแมว และชอบเธอ