“ADORA เป็นชื่อวงที่ไม่มีความหมายครับ” ฮิโรชิ หนึ่งในสมาชิกวง ADORA เล่าถึงที่มาที่ไปของชื่อวง
ADORA (อะโดรา) วงน้องใหม่สัญชาติไทยที่ส่งออกเพลงญี่ปุ่นแท้ จากค่าย GeneLab ประกอบไปด้วยสมาชิก ทั้งหมด 4 คน คือ GT (กีต้าร์) ตำแหน่งนักร้องนํา/กีตาร์/เปียโน, Hiroshi (ฮิโรชิ) ตำแหน่ง กีตาร์, Tar (ต้าร์) ตำแหน่ง เบส และ Nam (นาม) ตำแหน่ง กลอง
“เราอยากได้ชื่อที่ไม่มีความหมาย เพราะอยากให้ ADORA เป็นได้ทั้งของผู้ชายและผู้หญิงครับ ซึ่งพอได้ยินคำนี้แล้วในหัวเรานึกถึงควีนอะโดร่าหรือคิงอะโดร่า เป็นชื่อที่เราได้กำหนดคาแรกเตอร์ของคนๆ หนึ่งขึ้นมา แต่ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ ADORA เป็นคนแบบไหน แต่คงเป็นคนซนๆ ดื้อๆ นิดหนึ่งครับ”
เรารู้มาว่าฮิโรชิเป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นที่เคยทำวงกับต้าร์ และได้โคจรมาเจอกับนามที่ Siam Music Festival 2018 และวงก็ถูกเติมเต็มอีกครั้งด้วยสมาชิกคนสุดท้ายอย่างกีต้าร์ที่เข้ามาเป็นนักร้อง หลังเขากลับมาจากญี่ปุ่นอย่างพอดิบพอดี เรียกได้ว่าเป็นการโคจรที่รวมผลคนรักวัฒนธรรมญี่ปุ่นและ J-ROCK มัดรวมอยู่ด้วยกันอย่างพอดิบพอดี
แม้จะคลั่งรักใน J-ROCK แต่ ADORA ผสมผสานหลากสไตล์ลงไปในผลงานเพลงทั้งแนว R&B, Jazz จนไปถึง J-Pop คือวงน้องใหม่ลูกผสมที่หลุดกรอบการทำเพลงเดิมและกล้าทำสิ่งใหม่ ให้เกิดขึ้นในวงการเพลง
คอลัมน์ดนตรีนั้นคือชีวิต จึงอยากพามวลพลังงานความกล้าเหล่านั้นมาเสิร์ฟให้ทุกคนได้มารู้จักตัวตนของสี่หนุ่มมากขึ้น และคุณอาจจะตกหลุมรัก ADORA โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ค่ะ

ทำไมถึงอยากทำเพลงญี่ปุ่นในไทย
กีต้าร์ : เราเกิดและโตมากับเพลงญี่ปุ่นครับ ทุกคนในวงก็มีความเกี่ยวข้องกับญี่ปุ่นหมดเลย และผมเองก็ไปเคยเรียนที่ญี่ปุ่นมาด้วย อย่างเนื้อร้องผมเป็นคนเขียนครับ ช่วงแรกที่เริ่มเขียนก็ปรึกษากับโปรดิวเซอร์ของวงที่ผมเคยเล่นด้วยที่ญี่ปุ่นครับ แล้วก็เรียนรู้มาเรื่อยๆ จนปัจจุบันคือเขียนได้ด้วยตัวเองแล้ว
แล้วเรากำลังทำสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่างการทำเพลงญี่ปุ่นในตลาดเพลงไทย แต่ผมมองว่าตลาดเพลงไทยก็มีเพลงที่ทำเป็นภาษาอังกกฤษนี่ครับ เพราะฉะนั้นในปัจจุบัน ผมเลยไม่ให้วงการเพลงมีคำว่า “กำแพงภาษา” มาครอบเรา เราควรจะมีอิสระในการสร้างดนตรี เพราะดนตรีก็คือศิลปะอย่างหนึ่งครับ
ได้ยินว่า ADORA เคยแสดงที่โอกินาวา ประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว
นาม : ใช่ครับ พอดีเห็นบนเฟซบุ๊กว่าที่โอกินาวามีการเปิดรับสมัครวงดนตรีไปแสดงด้วย เรายื่นไปแล้วก็ได้รับเลือกเชิญให้ไปเล่น ซึ่งตรงนั้นเหมือนเป็นงาน Showcase ครับ ทำให้เราได้เจอนักดนตรีจากหลายๆ ประเทศมากมาย แล้วเราก็ได้ทำความรู้จักกันกับทางญี่ปุ่นเองด้วย เราเป็นที่รู้จักมากขึ้นในระดับหนึ่งจากการไปที่งานนั้น เราไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ช่วงต้นปี 2023
ฮิโรชิ : ตอนไปเล่นที่โอกินาวา เราเล่นเพลงในอัลบั้มแคนวาส 「ˈkanvəs」 ทั้งห้าเพลงครับ ซึ่งเดิมทีเป้าหมายของเราไม่ได้ตั้งใจจะตีตลาดไทย (หัวเราะ) เราต้องการไปเล่นต่างประเทศ ซึ่งโอกินาวาคือจุดเริ่มต้นของเรา แต่พอเห็นว่าที่นี่สนใจเราอยู่ เราเลยอยากลองดูครับ และจริงๆ เป้าหมายของวงก็ไม่เปลี่ยนไปครับ ยังมองการตีตลาดระดับโลกเหมือนเดิม


Hiroshi (ฮิโรชิ) – กีต้าร์
เล่าถึงอัลบั้ม「ˈkanvəs」 (แคนวาส) ให้ฟังหน่อย
กีต้าร์ : ก่อนที่จะเข้ามาอยู่ที่ Gene Lab เราทำเพลงห้า EP ครับ เป็นเรื่องราวของแต่ละเพลงเลย เหมือนว่าเรามีแผ่นแคนวาสใบหนึ่ง แล้วเราอยากจะสาดสีมันลงไป เราเลยทำแต่ละเพลงให้เป็นสีที่แตกต่างกัน
เพลงแรกมีชื่อเพลงว่า Kisetsu no Blue เป็นสีน้ำเงินที่หมายถึงคือฤดูกาล ซึ่งในเพลงเล่าถึงสองเหตุการณ์ผ่านสองฤดู คือฤดูเริ่มต้นปี จนไปถึงท้ายปี แล้วก็วนกลับมาอีกครับ ซึ่งเล่าถึงความรักที่เราแอบชอบคนหนึ่งอยู่ แต่คนนั้นดันชอบอีกคน แล้วคนที่เราชอบก็มาปรึกษากับเรา โดยที่เขาไม่รู้ว่าเราแอบชอบเขาอยู่ ซึ่งตอนจบเขาโดนบุคคลที่สามทิ้ง แล้วตอนจบเขาเพิ่งมารู้ว่าเราชอบเขาและอยากกลับมาหา แต่เราดันไม่ได้ชอบเขาแล้ว ทุกอย่างเลยกลายเป็นความรักที่ไม่มีใครสมหวัง
เพลงที่สองคือ Red In a Boy เป็นสีแดงที่เกี่ยวกับไฟในตัวคน ไฟที่อยากบอกว่าอย่ายอมแพ้ เล่าถึงเด็กคนหนึ่งที่อยากออกไปผจญภัยท่องโลกกว้าง เพลงนี้จะแฟนตาซีไม่ได้อิงความเป็นจริงครับ

เพลงที่สาม White Memory เป็นสีขาว โดยคอนเซปต์ของเพลงมันตั้งต้นมาจากที่ผมเขียนนิยายขึ้นมาก่อน แล้วค่อยแปลงเป็นเนื้อเพลงอีกที เนื้อหานิยายเกี่ยวกับแมวตัวหนึ่งที่ตายกี่ชาติก็ยังเกิดมาพร้อมความทรงจำเดิม และแมวก็สงสัยว่า ทำไมตัวเองถึงยังจำความทรงจำได้อยู่ ซึ่งจริงๆ แล้วแมวตัวนี้เคยเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ที่อยู่กับแม่มดคนหนึ่งมาก่อน ซึ่งแม่มดเป็นคนรักของแมวตัวนี้ เมื่อพระจันทร์เต็มดวงแมวก็จะแปลงร่าง (อิงจากมนุษย์หมาป่า) ปรากฏว่าแมวเผลอฆ่าคนที่ตัวเองรักที่สุดไป แต่ก่อนที่แม่มดจะตายไป แม่มดไม่อยากให้แมวรู้สึกแย่ที่กินคนรักตัวเองไป เลยจัดการเสกให้แมวลืมเรื่องราวข้างต้น แต่ยังจำเรื่องดีๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อในตอนสุดท้ายเขาจะได้จำได้ว่าคนรักของเขามีตัวตนอยู่จริงครับ
เพลงที่สี่ Green Virus เป็นสีเขียว เพลงนี้หนักเลยครับ (หัวเราะ) เพราะเป็นอารมณ์ชั่ววูบที่ผมเขียนขึ้นจากเหตุการณ์โควิด-19 ซึ่งในตอนนั้นพี่ผู้จัดการติดโควิดพอดี ผมเลยเล่าเกี่ยวกับคนๆ หนึ่งที่ติดไวรัสจนตัวเขียว และพอแตะคนอื่นไปเรื่อยๆ คนก็จะตัวเขียวไปเรื่อยๆ
ส่วนเพลงสุดท้ายคือ Yellow Line สีเหลืองที่เกี่ยวกับเส้นสีเหลือง ตอนผมอยู่ที่ญี่ปุ่นจะเห็นเส้นสีเหลืองก่อนขึ้นรถไฟ ประเทศไทยก็มีเนอะ เป็นเส้นที่บอกว่าให้ยืนตรงนี้ เพราะถ้าคุณข้ามไปจะเกิดอันตราย ผมเลยเอาเส้นตรงนี้เล่าเกี่ยวกับเรื่องราวของความรัก ผมเคยมีคนที่รักมากๆ คนหนึ่ง แล้วผมดันไปบังคับเขามากเกินไป กลายเป็นว่าเราล้ำเส้นเข้าไป จนเขารู้สึกอึดอัดที่จะอยู่กับเราตอนจบเราแยกทางกันเพราะผมดันข้ามเส้นสีเหลืองนี้ไป ผมเลยเอามาแต่งประมาณว่าเราจะกลับมาเจอกันอีกครั้งได้ไหมนะ รอบนี้ผมสัญญาว่า ผมจะไม่ข้ามเส้นนี้ไปอีกเลย แล้วก็ปิดอัลบั้มนี้ไปด้วยสีเหลืองครับ/


GT (กีต้าร์) – นักร้องนํา/กีตาร์/เปียโน
มาอยู่ที่ GeneLab ได้ยังไง
กีต้าร์ : เป็นความบังเอิญเลยครับ มีวันหนึ่งผมไปสังสรรค์กับเพื่อน ที่ร้านเล็กๆ (หัวเราะ) มีโต๊ะอยู่ใกล้ๆ กันเขาก็ปาร์ตี้กันสนุกสนาน สักพักเขาก็ชวนเราเข้าไปนั่งคุยด้วย คุยไปคุยมาคนในกลุ่มนั้นเลยบอกว่ามีเพื่อนทำงานอยู่ที่ GeneLab นะครับ ผมก็สงสัยว่าเป็นใคร คุยสักพักผมเลยยื่นนามบัตรวงของเราไปโดยไม่คิดอะไร ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมนะครับ (หัวเราะ)
หลังจากยื่นนามบัตรไปเขาก็ถามว่าทำไมทำเพลงญี่ปุ่นกัน ผมเลยบอกว่าเพราะพวกผมชอบครับ อยากลองอะไรใหม่ๆ ดู เขาก็เลยบอกว่าน่าสนใจ แล้วเขาก็กลับไปเลย แต่หลังจากนั้นไปผ่านสองวัน ทางเขาก็ติดต่อมาอีกครั้ง กลายเป็นว่าเขาได้มีโอกาสลองเข้ามาที่ GeneLab ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก เปลี่ยนจากตกใจมันกลายเป็นเครียดเลยครับ (หัวเราะ)
เล่าถึง Ms. Brainwash เพลงเปิดตัวกับค่าย Gene Lab ให้ฟังหน่อย
กีต้าร์ : เนื้อหาเพลงเกี่ยวกับ Toxic Relationship ครับ เล่าว่าเรารักกันมาถึงจุดหนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็ทิ้งเราไปเหมือนเดิม แล้วที่ผ่านมาเราใช้เวลาร่วมกันไปเพื่ออะไร เหมือนว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันล้างสมองเรา ราวกับว่าเรามีความสุข แต่จริงๆ มันไม่ได้มีความสุขเลย กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ท็อกซิก ผมอยากให้เพลงนี้เป็นแค่การระบายเรื่องราวในชีวิตสักอย่างหนึ่ง อยากให้ผู้ฟังตัดสินใจเรื่องตัวเพลงด้วยตัวเขาเองว่า อยากให้เพลงมันสื่อสารไปในทิศทางหรืออารมณ์แบบไหน ยังไงก็ขอฝากติดตามด้วยนะครับ
ส่วนแนวเพลงค่อนข้างเป็นแนวเพลงผสมผสาน หลักๆ มีความเป็นป๊อปร็อกและฟังก์เข้ามาด้วย อาจจะมีจังหวะกลองที่พิเศษขึ้นในพาร์ทดนตรีจึงเหมือนการตัดแปะ เราเอาดนตรีหลายๆ แนวมาผสมกัน อย่างตอนเด็กๆ ที่เราเคยเรียนวิชาการงานอาชีพ ที่คุณครูมีกระดาษแล้วก็มีหนังสือพิมพ์ แล้วให้เรามาตัดแปะรูปเพื่อสร้างเป็นงานศิลปะอะไรสักอย่าง ผมรู้สึกว่าวิธีการคิดแบบนี้มันใช้กับดนตรีได้ เลยเอามาคิดกับการตัดแปะดนตรี
ศิลปินคนไหนคือไอดอลในดวงใจของทั้งสี่คน
ฮิโรชิ : Ayase วง yoasobi ครับ
ต้าร์ : ผมชอบวง Official HIGE DANdism
นาม : ถ้าเป็นร็อกก็ต้องวงในตำนานอย่าง ONE OK ROCK ครับ
กีต้าร์ : เลือกยากเลยเพราะชอบหลายคนครับ แต่หลักๆ ก็ชอบ Daiki Tsuneta วง Kingknu และ Toru Kitajima หรือ TK จาก Ling Tosite Sigure ทั้งคู่เป็นศิลปินที่จบงานด้วยตัวเองได้ ทำเพลงคนเดียว จบงานคนเดียวได้ ไม่ว่าจะเป็นพาร์ท กลอง เบส กีต้าร์ หรือเครื่องสาย แนวเพลงและการประพันธ์เพลงของเขามันแปลกมาก ผมเลยรู้สึกว่าเขาคือหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้ที่เราไม่ได้สามารถหาได้ทั่วไป เขาเลยเป็นแรงบันดาลใจของผมที่ผลักดันให้ผมสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาในวงการดนตรี


Nam (นาม) – กลอง
ความรักใน J-Culture และ J-POP มีอิทธิพลยังไงกับ ADORA บ้าง
ฮิโรชิ : จะมีโควทที่ว่า You are what you eat ครับ หมายความว่า ถ้าเราเสพงานของใครเข้าไป งานของเราที่ผสมตัวตนของเราไปด้วยก็จะออกมาตามเทสของเราครับ แล้วภาษาญี่ปุ่นก็อยู่กับผมมาครึ่งชีวิตเลยด้วย อยู่ที่บ้านตื่นมาก็ได้ยินภาษาญี่ปุ่นแล้ว ฉะนั้นความเป็นญี่ปุ่นเลยเป็นความปกติของผมเลยครับ
ต้าร์ : ของผมเป็นอิทธิพลด้านดนตรีครับ ผมชอบมานั่งคิดว่าทำไมวงนั้นเขาดนตรี้แบบนี้ ทั้งในเรื่องสกิลการเล่นที่มือเบสญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็ตึงๆ ด้วย เราเรียนรู้และก็ได้พัฒนาตัวเองในส่วนนี้ด้วยครับ
นาม : อย่างไอดอลที่เราชอบ เขาจะมีเอเนอร์จี้ของวงที่พอฟังเยอะๆ เราก็อยากให้ตัวมีพลังแบบเขา อีกอย่างคือมันมีความแปลกใหม่ มีความสร้างสรรค์ เวลาที่ฟังเพลงญี่ปุ่นทุกอย่างจะใหม่ตลอด มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และสำคัญคือผมชอบอาหารญี่ปุ่นเป็นพิเศษ อร่อยครับ (หัวเราะ)
กีต้าร์ : ด้วยความที่ผมเริ่มฟังเพลงญี่ปุ่นตั้งแต่เด็กๆ เลย แล้วเราก็ชอบมาตลอด ฟังคู่มากับเพลงไทยนะครับ แต่ด้วยความที่ดนตรีมันแตกต่างกันเกินไป ทำให้เราสนใจอะไรที่แปลกใหม่ และสนใจในอะไรที่มันมาพัฒนาเราต่อได้ เลยฟังไปเรื่อยๆ จนไปถึงจุดหนึ่งที่ผมเลิกเสพงานดนตรีไทย ไม่ใช่ว่าเพราะเพลงไทยไม่ดี แต่แค่รู้สึกว่าถ้าเราเสพหลายๆ อย่างมากเกินไป มันเหมือนกับในเสบียงสมองเราเยอะไป เพราะเรามักหยิบเบียงในสมองเรามาใช้โดยไม่รู้ตัว ผมเลยเสพผลงานญี่ปุ่นมาตลอด นั่นเลยเป็นแรงผลักดันของผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
อีกอย่างผมว่าญี่ปุ่นไม่ได้มีอิทธิพลแค่เรื่องดนตรีนะครับ ผมพูดถึงหลายๆ อย่างเลย ญี่ปุ่นมีบทบาทในประเทศเรามาก เช่นอาหาร รถ บริษัท หรือแม้กระทั่งอุตสาหกรรม เราเห็นอยู่ทุกวัน ผมเลยสนใจมากๆ ผมเลยอยากซึมซับมันไปเรื่อยๆ พอถึงจุดที่ผมเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับมันแบบจริงจัง กลายเป็นว่าญี่ปุ่นเปลี่ยนชีวิตของผมไปเลย


Tar (ต้าร์) – เบส
ถ้าต้องเปรียบเทียบด้วยสี ADORA ควรเป็นสีอะไร
ต้าร์ : สีดำ
ฮรช : สีแดง
กีต้าร์ : สีน้ำเงิน (หัวเราะ) แต่ละคนไม่เหมือนกันเลย
นาม : เป็นสีขาวไหม เติมอะไรก็ได้
กีต้าร์ : ใช่เลยครับ แต่อาจจะเป็นสีขาวครีม ไม่ใช่ขาวสะอาด เพราะถ้าเติมแดงเข้าไปจะเป็นแดงเลือดหมู ฟ้าเข้าไปก็เป็นฟ้าอีกแบบ เราจะเป็นสีที่ทำให้จะเกิดสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลาครับ
มองภาพอนาคตของ ADORA ไว้ยังไงกันบ้าง
ฮิโรชิ : ผมไม่ได้กำหนดช่วงเวลาว่า เราจะต้องเป็นยังไงต่อไปบ้าง แต่ผมมองว่าเราคงจะโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะผมไม่ได้มองว่าจะไปสุดที่ไหน ไม่ได้มองว่าเพดานมันอยู่ตรงไหน แต่ก็คาดหวังว่าเราจะมีชื่อเสียงในระดับโลกครับ
นาม : ผมอยากให้วงเป็นที่รู้จักมากขึ้น มีการแสดงที่มากมาย โดยเฉพาะในต่างประเทศก็จะดีมาก เรามีความฝันว่า ถ้าได้มีเพลงประกอบอนิเมะสักเรื่องก็คงจะดีครับ (หัวเราะ) เป็นเพลงประกอบอนิเมะได้ทุกแนวเลยครับ นักร้องของเรา (กีต้าร์) พร้อมเขียนเพลงได้ทุกแนวครับ (หัวเราะ) เพราะผมว่าถ้าได้ทำในสิ่งที่เราเอนจอย มีความสุขที่จะทำ ทุกอย่างมันก็จะออกมาดีครับ
ต้าร์ : อยากแสดงที่ต่างประเทศเหมือนกันเลยครับ แต่อยากเริ่มจากการได้ทัวร์รอบๆ เอเชียก่อนครับ
กีต้าร์ : เรายังไม่ได้กำหนดว่าวงจะถึงจุดไหน เราแค่รู้สึกว่าแฮปปี้กับการที่ทำวงมาถึงตรงนี้ก็โอเคแล้ว วงอยู่ที่ไหนก็ถึงไหนถึงกันครับ
